สวัสดีครับ ผมชื่อนัท ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้คุณฟัง คุณช่วยบอกผมทีว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องที่ผมฝันไปหรือมันเป็นเรื่องจริงที่ผมได้เผชิญ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องลึกลับที่แม้ตัวผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น
ก่อนจะเล่าเรื่องผมขอแนะนำเพื่อนๆของผมก่อน พวกเรานั้นเองมีกันอยู่ห้าคนคือ ตั้ม แมน เอก นพ และผม เป็นเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถมจนถึงมัธยม แทบจะไม่ห่างกันเลย เราก็สัญญากันด้วยว่าพวกเราจะไม่ทิ้งกัน จนกระทั่งเราจะต้องไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในสาขาที่ตนเองถนัด พวกเราก็เลยได้ติดต่อกันผ่านทาง MSN เรื่อยมา
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ตอนที่พวกเราปิดเทอมและได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านซึ่งก็อยู่ใกล้กัน ในวันนั้นเราไปเที่ยวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บังเอิญว่า แมน จิ๊กโก๋ของกลุ่มเราดันไปเหยียบเท้าของเจ้าถิ่นแถวนั้นเข้า ประกอบกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดเรื่องราวต่อยตีกัน พวกเราเองก็วัยคะนองเลยเข้าไปผสมโรงจนเจ้าของร้านต้องมาแยกวง ผมเองก็ยังจำภาพวันนั้นได้ดี
+++++++++
“เสียดายว่ะ ถ้าเจ้าของร้านไม่มาห้ามไว้นะ ข้าจะเอาขวดโซดาฟาดกบาลมันให้รู้แล้วรู้รอด” ไอ้แมนยังไม่สร่างดียังคึกอยากอาละวาดตะโกนขึ้นมาระหว่างทางที่พวกเราเดินทางกลับซึ่งเป็นตรอกเล็กๆมืดๆ
“ไอ้แมนอย่าซ่านักซิวะ เดี๋ยวเอ็งก็ต้องไปร้องโอดโอยในโรงพยาบาลอีก สมัยก่อนหัวแตกเย็บ สี่ห้าเข็มร้องลั่นซะโรงบาลยังกับจะโดนเชือด” ตั้ม คนหล่อปากเสียประจำกลุ่มพวกเราอดแขวะไม่ได้ พวกเราที่เหลือได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
“แต่ก็ดีที่เจ้าของร้านไม่เอาเรื่อง ไม่งั้นไปนอนกินข้าวแดงในคุกกันหมด ข้าประกันตัวได้ไม่ไหวหรอกนะโว้ย” เอก กระเป๋าเงินของกลุ่ม ลูกคหบดีในหมู่บ้านแกล้งเย้าเพื่อนซี้
“แล้วเอ็งล่ะไอ้นพ ไม่สบายรึเปล่าวะ หน้าซีดเชียว” ผมหันไปถามไอ้นพ ไอ้แว่นเด็กเรียนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม ถ้าไม่ได้มันช่วยติวให้เราก็สอบกันไม่ผ่านหรอก
“วันนี้หมดสนุกแล้วว่ะ กลับบ้านกันดีกว่าแล้วค่อยเจอกันนะโว้ย” ไอ้ตั้มชวนกลับโดยไม่รู้เลยว่ามีอัตรายรออยู่ตรงหน้า
“จะรีบกลับไปไหนกันล่ะไอ้น้อง” เสียงแปลกๆดังขึ้นเบื้องหน้า กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าสิบคนยืนดักรออยู่พร้อมอาวุธครบมือสีหน้าทุกคนเอาเรื่องเต็มที่
“เหยียบเท้าเพื่อนพี่คิดว่าจะจบในร้านรึไงไอ้น้อง”หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นมา มือถือไม้หน้าสามพร้อมรบ
“เอาไงดีวะพวก” เอกหันมากระซิบกระซาบพลางกะคะเนจำนวนคนตรงหน้า
“ไม่น่าไหวว่ะ เล่นยกมาเป็นสิบคน” เจ้าตั้มเริ่มหน้าซีดหันกลับมาถามความเห็น
“สู้ไม่ไหว ก็เผ่นซิวะ”ผมเองที่เสนอความเห็นนี้ กลุ่มเราทั้งกลุ่มก็ใส่เกียร์หมาโกยไม่คิดชีวิต
“จะหนีไปไหน พวกเราตามโว้ย”เจ้าถิ่นตะโกนสั่ง การวิ่งไล่จึงเริ่มขึ้น เสียงดังเอะอะโวยวายดังไปทั่ว พวกเราวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนโดยมีเป้าหมายที่คนพลุกพล่านหรือสถานีตำรวจ แต่เวลาร่วมตีสามอย่างนี้ หาสถานที่เหล่านี้ยากนัก จนกระทั่ง...
“โอ๊ย!” เสียงนพดังขึ้น พวกเราจึงหยุดเท้าหันไปมองมันที่วิ่งรั้งท้ายอยู่ล้มลง แว่นตาของมันหลุดกระเด็น
“แว่น...แว่น...”มือของมันควานไปในความมืดมองหาอุปกรณ์สำคัญแต่สิ่งที่มันคว้าได้กลับเป็นรองเท้าที่เหยียบแว่นของมันจนแหลก
“ไงไอ้แว่น แล้วเพื่อนมึงล่ะ” เสียงเจ้าถิ่นที่ไล่ล่าเราอยู่ดังขึ้นไม้หน้าสามในมือมันหวดไอ้นพจนกระเด็น พวกเราทำได้แค่เพียงยืนดู
“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย...”เสียงไอ้นพครางอย่างเจ็บปวดแต่ด้วยความกลัวตาย พวกเรากลับทำสิ่งที่ไม่น่าอภัย
นั่นคือการวิ่งหนี
พวกเราวิ่งหนีปล่อยให้ไอ้นพถูกทำร้ายเพื่อรักษาชีวิต ทิ้งเสียงร้องโหยหวนของเพื่อนเอาไว้ข้างหลัง ทุกวันนี้เสียงของมันยังติดหูผมอยู่เลยว่า
“ช่วย...ช่วยด้วย”
+++++++++++++++++++++++++++++++++
เช้ารุ่งขึ้น ข่าวหน้าหนึ่งพาดหัวข่าวเรื่องของนพ พวกเรากลับยิ่งสลด เราเสียไอ้นพไปตลอดกาล ศพของมันตั้งบำเพ็ญกุศลโดยมีพ่อของเอกเป็นเจ้าภาพให้ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ แต่ตราบาปนั่นยังไม่ลบเลือน
หลังงานศพในคืนที่สาม พวกเราทั้งเหนื่อยและเสียใจต่างแยกย้ายกันกลับบ้านแต่ก็ยังแต่ก็ยังคงออนไลน์ MSN เพื่อคุยกันอีกเล็กน้อย
“ข้าไม่น่าทิ้งมันไว้เลย ไม่งั้นมันคงรอด” ไอ้แมนพิมพ์ขึ้นมา พวกเราเองก็ต่างเห็นด้วย ทั้งห้องแชตอนนั้นต่างเงียบกริบปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นจวบจนเวลาล่วงไปเที่ยงคืน
“มีใครรู้รหัสผ่านของไอ้นพบ้างไหม”อยู่ๆไอ้แมนก็ถามขึ้นมา พวกเราไมมีใครรู้เลยไม่ได้ตอบมันไป
“งั้นข้าคงคิดไปเอง เจอกันวันรุ่งขึ้นละกัน” แมนตอบกลับมาก่อนที่จะออฟไลน์หายไป
++++++++++++++++++++++++++++++
“ไอ้แมนตายแล้ว มันตายได้ไง เมื่อวานก็ยังคุยกันดีๆอยู่เลย” เสียงของตั้มดังลั่น มันโวยวายขึ้นมากลางงานเผาศพนพ ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อข่าวร้ายนี้จะเป็นจริง เพาะไอ้แมนตายตอนเที่ยงคืนกว่าๆหลังจากที่มันออฟไลน์ไปเล็กน้อยเท่านั้น ทั่วร่างของแมนมีรอยถูกของมีคมแทงพรุนไปทั้งตัว ห้องของมันนั้นเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลที่นับไม่ถ้วนนั้น และที่แปลกก็คือ ห้องของมันไม่มีร่องรอยการถูกบุกรุกเลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่ลงกลอนจากด้านในทั้งหน้าต่างและประตู พวกเราเองที่เหลืออยู่ทั้งสามคนทั้งงุนงงและตกใจ โดยเฉพาะการสูญเสียแบบต่อเนื่องหลังจากงานของเพื่อนคนหนึ่งก็มีอีกคนต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
“ต่อจากไอ้นพก็เป็นไอ้แมน มันบ้าอะไรกันเนี่ย” ตั้มระบายอารมณ์ออกมาผ่านหน้าจอหลังจากงานศพของแมนเราก็มาชุมมุนกันอีกครั้งในโลกของอินเตอร์เน็ตผ่านทาง MSN
“งั้นก็ไปแจ้งตำรวจซิวะว่าพวกเราโดนปองร้าย” เอกเสนอความคิดเห็น ทุกคนเชื่อว่าเป็นฝีมือพวกนักเลงเจ้าถิ่นที่พึ่งมีเรื่องกับพวกเขาจนต้องเสียนพไป
“หน้าพวกมันเราก็จำไม่ค่อยได้ อีกอย่างเรื่องของไอ้แมนน่ะ เรามีหลักฐานว่าเป็นพวกไหนด้วยรึไง” ผมพิมพ์โต้ตอบกลับไป
“แล้วเรื่องเมล์ของไอ้นพกับไอ้แมนล่ะ จะเก็บเอาไว้หรือว่าจะลบทิ้ง” เอกถามขึ้นมา มันเองคงไม่อยากเก็บความรู้สึกแย่ๆที่เงินเป็นถังของครอบครัวมันก็ไม่อาจระบายได้นี้ไป
“ข้าเก็บไว้ก่อนว่ะ เพื่อวันไหนคิดถึงมันจะได้ลองเมล์ไปหามันเล่นๆ ไม่แน่นะอาจมีคนตอบกลับมาให้ก็ได้” ผมแกล้งหยอกพวกมันเล่น ใครก็รู้ว่าคนตายไปแล้วจะมาตอบกลับเมล์ได้ยังไง
“แต่ข้าลบดีกว่านะ กลัวมันเด้งขึ้นมาว่ะ” ตั้มพิมพ์ส่งกลับมา แต่แล้วมันก็เริ่มด้วยข้อความแปลกๆมาอย่างต่อเนื่อง
“มีคนออนเอ็มไอ้นพว่ะ” ข้อความชวนตะลึงนี้ผ่านออกมาทางหน้าจอ
"คงมีญาติไปเปิดเครื่องมันแล้วเข้าระบบโดยอัตโนมัติมั้ง” เอกให้ความเห็นแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบกลับมาจากตั้ม เวลาล่วงเลยผ่านไปนานตั้มก็ไม่ได้ส่งข้อความกลับมาเลย
“ไอ้ตั้ม อยู่ไหม” ผมลองเรียกมัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการตอบสนอง ผมเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติดูเหมือนว่าเอกก็คงเห็นเหมือนกับผม
เพราะตั้มบอกว่า มีคนออนไลน์ MSN ของนพ แต่ทั้งผมและเอกเองกลับไม่มีข้อความแสดงสถานะนี้เลยทั้งๆที่พวกเราต่างก็บันทึกข้อมูลของกันและกันเอาไว้
จากตีหนึ่งไปจนถึงตีสอง หนึ่งชั่วโมงแห่งการรอคอยนั้นบั่นทอนกำลังใจของผมและเอก เราทั้งสองคนทั้งเรียกส่งสัญญาณแต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาจากตั้ม แม้แต่น้อย ทั้งโทรศัพท์ที่โทรไปก็ไม่มีใครรับสาย เราทั้งสองคนจึงตัดสินใจไปที่บ้านของตั้มทันที
ที่บ้านของบตั้มตอนนั้นเงียบวังเวงจนน่ากลัวไร้สัญญาณของสิ่งมีชีวิต ทั้งผมและเอกต่างก็ตะโกนเรียกมัน แต่ก็ไม่มีคนมาเปิดประตูรับในเมื่อไม่มีการตอบสนองเราทั้งคู่จึงถือวิสาสะปีนเข้าไป
“ไอ้ตั้ม!ไอ้ตั้มโว้ย!” ผมตะโกนเรียกมันพลางขยับประตู แต่ก็หมดหวังเพราะมันลงกลอนจากด้านใน ผมจึงเดินสำรวจหาทางเข้าไปให้ได้ จนสายตาสะดุดแสงไฟที่ส่องลอดออกมาจากห้องของเพื่อนรักคนหนึ่งของผม ผมจึงปีนต้นมะม่วงที่อยู่ข้างห้องนั้นขึ้นไป
“ไอ้เอกโทรเรียกตำรวจ ข้าว่าท่าไม่ดีแล้วว่ะ” ผมตะโกนบอกเอกที่รออยู่ข้างนอก พลางพยายามปีนไปใกล้ห้องของตั้ม สิ่งที่ผมมองเห็นนั้นแม้จะไม่ชัดแต่ก็พอรู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จของตั้มถูกเปิดทิ้งไว้จนมีแสงไฟลอดออกมาทางหน้าต่าง และสิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือ กลิ่นเหม็นไหม้ กลิ่นเหม็นเตะจมูกที่น่ากลัว ผมรีบปีนลงไปหาเอกทันที
“ไอ้นัท! ไอ้ตั้มเป็นไงบ้าง” เอกถามอย่างร้อนรน ใบหน้าของมันเริ่มซีดเพราะความกลัวและกังวลผมเองมีรู้สึกไม่ต่างกัน
“คอมมันเปิดทิ้งไว้ แต่มีกลิ่นเหม็นไหม้น่าดูเลยว่ะ รอตำรวจมาพังประตูเข้าไปช่วยมันดีกว่า” ผมตอบมันช้าๆ พยายามตั้งสติ
ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาช่วยเปิดประตูบ้านเข้าไป เรารีบวิ่งไปที่ห้องของตั้มทันที แต่ก็เป็นอย่างที่คิด ห้องของตั้มลงกลนจากข้างในไม่มีร่องรอยการบุกรุกแม้แต่น้อย มีเพียงกลิ่นเห็นไหม้ลอยออกมาตามช่องว่าง เอกรีบไปเรียกเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยพังประตู เข้าไป สิ่งที่ผมเห็นนั้นทำให้ผมเองนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก
เพราะร่างของเจ้าของห้องนั้นนอนตายอยู่ที่พื้นตามทั่วร่างมีร่องรอยการถูกไฟฟ้าดูดเป็นรอยไหม้ไปทั่วตัว ใบหน้าของตั้มแสดงความตกใจสุดขีดและบิดเบี้ยวอย่างทรมาณไม่เหลือเค้าไอ้หน้าหล่ออีกเลย เอกที่ตามหลังผมมาเห็นภาพของเพื่อนที่นอนตายอยู่ที่พื้นก็ถึงกับทรุดลงปล่อยโฮออกมาทันที ผมเองลองกวาดตามองไปรอบๆห้องอีกครั้งเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้สิ่งที่ผมเห็นที่หน้าจอกลับยิ่งทำให้ผมเกิดความรู้สึกจุกแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างเจ็บปวดใจและความรู้สกที่น่าหวาดหวั่นจนขนลุกผสมกัน
เพราะมันคือหน้าต่าง MSN ของนพที่มีแต่ข้อความน่ากลัวปรากฏอยู่
“ไอ้พวกเพื่อนทรยศ ทำไมถึงทิ้งข้าไป พวกเรามีสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือไง ไอ้พวกเฮงซวย ...”
++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ไอ้นพ ไอ้แมน แล้วก็มาไอ้ตั้ม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากนแน่” เอกตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง เพื่อนสนิททั้งสามก็มาด่วนจากลาไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็เครียดจนพูดไม่ต่างจากมัน ยิ่งมาเห็นอาการของมันในตอนนี้แล้ว ผมไม่กล้าที่จะเล่าสิ่งที่ผมเห็นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขอองตั้มให้มันฟัง ใบหน้าของตั้มแสดงเห็นชัดถึงความเครียด ความกังวล คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันยิ่งทำให้ดูน่ากลัว ผมว่าผมเองในตอนนี้ก็คงมีสีหน้าไม่ต่างจากเอกตอนนี้หรอกมั้งความคิดบ้างอย่างกลับแล่นเข้าในสมองของผม
“หรือว่าเจ้านพจะมาแก้แค้น” ผมพึมพำเบาๆออกมาอย่างลืมตัวสิ่งที่ผมเห็นในห้องของตั้ม และสิ่งที่ผิดสังเกตก่อนตายของแมนและตั้มมันทำให้ผมคิดไปได้ว่า มันอาจเป็นฝีมือของนพ แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ เพราะเจ้านพมันตายไปแล้ว
“ไอ้นพมันจะแค้นอะไรพวกเรา ก็พวกเราเป็นเพื่อนมันไม่ใช่รึไง ทำไมต้องมาฆ่าพวกเราด้วย อีกอย่าง ไอ้นพมันก็ตายไปแล้วนะ เราเพิ่งเผาศพของมันไปเมื่อวานซืนไม่ใช่รึไง” เอกยิ่งโวยวายเพราะไม่เชื่อแต่ผมเชื่อนะว่ามันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ
“งั้นวันนี้เราแยกย้ายกันไปก่อน หากมีอะไรก็ให้โทรมา ระวังตัวเองให้ดีด้วยนะ” ผมรีบลามัน ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมรู้สึกว่า
คืนนี้จะต้องเกิดเรื่อง...
++++++++++++++++++++
ผมยังจำเหตุการณ์ตลอดเวลานั้นตั้งแต่นพตาย มาได้อย่างดี หลังจากที่ผมแยกจากเอกแล้วผมก็รีบกลับบ้านและเข้านอนทันที ผมยิ่งมั่นใจว่าเป็นฝีมือของนพ เพราะทั้งแมนและตั้มพูดว่านพออนไลน์เข้ามา แต่ทำไมผมถึงไม่เห็นคำแจ้งเตือนว่ามีคนออนไลน์เข้ามาเลยทั้งๆที่ควรจะขึ้นมาให้เห็นเหมือนกัน ผมหันหน้าไปมองเครื่องคอมพิวเตอร์ของผมที่ปิดสนิทอยู่อย่างไม่ตั้งใจ ความรู้สึกระแวงนั้นมันกดดันผมที่อยากจะหลับไปให้พ้นๆก็ไม่สามารถหับได้ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มือถือของผมก็มีสายเข้า
และคนที่โทรเข้ามาคือเอก
“ไอ้นัท ช่วยข้าด้วย ไอ้นพ ไอ้นพจะฆ่าข้า” เสียงของเอกสั่นเครือและหวาดกลัวดังลั่นที่ปลายสาย
“ไอ้เอกตั้งสติก่อนโว้ย ตั้งสติแล้วค่อยๆเล่าให้ข้าฟัง”ผมกรอกเสียงกลับไป
“อยู่ๆเครื่องคอมข้ามันก็เปิดขึ้นมาเอง แล้วไอ้นพก็ออนเข้ามา มัน...บอกว่า มันบอกว่ามันจะฆ่าข้า มันด่าข้าว่าทิ้งมันไป มันด่าข้าว่าเป็นเพื่อนทรยศ ข้า...ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว เอ็งมาอยู่กับข้านะไอ้นัท” ผมรีบลุกขึ้นทันที น้ำเสียงของเอกร้อนรนอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่
“ไอ้นพ ปล่อยกูไปเถอะ กูเป็นเพื่อนมึงนะ ไอ้นพ ข้าขอร้อง ไอ้นพ ยะ อย่า อย่า......” สิ้นเสียงของมันสายก็ถูกติด ผมเลยรีบวิ่งไปที่บ้านของเอกทันทีพลางโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วย บ้านของเพื่อนที่เหลืออยู่คนสุดท้ายของผมนั้นประตูไม่ได้ปิด ไฟในห้องของมันที่อยู่ชั้นสองก็เปิดสว่างจ้า เสียงร้องของมันดังสนั่นจนถึงข้างนอกผมเงยหน้ามองห้องของเอกตามเสียงทันที
“ไอ้เอก ข้ามาแล้ว รอข้าก่อน ข้ากังจะไปช่วย” สิ้นเสียงของผม หน้าต่างเจ้าของบ้านก็แตกออกพร้อมๆกับร่างของเอกที่ถูกโยนลงมา ร่างของเอกกระแทกพื้นอย่างแรงจนแน่นิ่ง ผมมองภาพนั้นด้วยความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เสียงคุ้นหูของนพที่น่าตายไปแล้วดังก้องในหูผม
“เหลือเอ็งเพียงคนเดียว ไอ้นัท ไอ้เพื่อนเฮงซวย ไอ้เพื่อนทิ้งเพื่อน ไม่เป็นไร ข้าไม่ทิ้งพวกเอ็ง พวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตากัน ตามสัญญา” สิ้นเสียงของคนที่น่าจะตายไปแล้วอย่างนพก็เหมือนฟ้าผ่าลงมาในหัวของผม มันอื้ออึงแล้วน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกว่าตอนนั้นผมกลัวขนาดไหน เข่าผมอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น เสียเวลานานพอดูกว่าที่สติผมจะกลับมา ผมค่อยๆคลานไปหาเอกอย่างหมดแรงหมดกำลัง แต่สายไปเสียแล้ว เอกตายไปแล้ว ใบหน้าของมันเหมือนตั้มไม่มีผิด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด ผมหมดแรงที่จะทำอะไรต่อไปอีกแล้ว แม้แต่เสียงไซเรนของตำรวจก็ไม่ได้ยิน ทำได้เพียงแค่กอดศพของเอกอยู่อย่างนั้นนั้นนิ่งและนาน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากเรื่องของเอก ผมรีบไปปรึกษาหมอผีทันที ผมลองทำตามคำแนะนำด้วยการใช้หุ่นตัวตายตัวแทน หุ่นไม้ที่ลงอาคมกำกับด้วยเลือดของผม ถูกผมนำไปฝังไว้ข้างอัฐิของเจ้านพ ในหัวของผมว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย ผมอยากคิดว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ฝันไป แต่หลังจากที่ผมทำอย่างนั้น ผมก็ไม่มีการรบกวนจากนพอีกเลย
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ผมกลับนึกถึงเรื่องของพวกเราอีกครั้ง คงเป็นเพราะวันครบรอบการเกิดเรื่องล่ะมั้ง ปริศนาการตายของพวกมันยังไม่ถูกคลี่คลาย แต่ผมรู้ว่ามันคงจบบลงแล้ว คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรล่ะ ผมคงจะฝันไปเองซินะ...
เดี๋ยวนะครับ ผมขอเช็คอีเมล์ของผมก่อน มีคนออนเข้ามา ใครกัน แต่เมล์นี่มัน ของ...
ไอ้นพ
“คิดว่าเอ็งจะรอดไปได้รึไง คิดว่าตุ๊กตางี่เง่านั้นจะช่วยเอ็งได้หรือไง ไอ้นัท ไอ้เพื่องเฮงซวย เอ็งก็ต้องไปอยู่กับกู เอ็งหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
......
ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เรา ก็เรา... อ๊ากกก!!!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น